ecommerce

Checklist การสร้างอีคอมเมิร์สให้ปัง! ในยุค 2017 #4

By mudjarin -

March 29, 2017

ยังไม่หมดกันกับสุดยอดไกด์ในการสร้างร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ ใครที่นำไปทดลองสร้างร้านค้าของตัวเอง หรือนำไปปรับปรุง ต่อยอดแบรนด์ที่มีอยู่แล้ว ก็นำมาแชร์ประสบการณ์กันได้เลยนะคะ ใครพลาดตอนก่อนหน้านี้ ตามมาอ่านก่อนได้ที่ ตอนที่ 1: https://wp.me/p7ClQR-m8 ตอนที่ 2: https://wp.me/p7ClQR-mdตอนที่ 3: https://wp.me/p7ClQR-mh

10. ใช้ระบบ Live Chat เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

โลกของอีคอมเมิร์สนับวันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีอะไรสามารถสู้กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ในโลกของการซื้อขายกันต่อหน้า

ให้ทายว่ามีกลุ่มจำนวนผู้ที่ช้อปปิ้งออนไลน์สักกี่เปอร์เซนต์ที่คิดว่า การถามตอบกับคนจริงๆในระหว่างที่เขากำลังช้อปปิ้งอยู่นั้นเป็นฟีเจอร์ที่สำคัญและทุกเว็บไซต์ควรมี? คำตอบคือ 44% ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เยอะพอที่จะทำให้เจ้าของแบรนด์ควรที่จะทำระบบนี้ขึ้นมาได้แล้ว

live chat ที่สร้างความรำคาญกับ live chat ที่สร้างประโยชน์นั้นต่างกัน คุณต้องสร้างระบบให้ไม่รุกลูกค้าจนเกินงาม มันอาจเป็นกล่อง pop-up ที่สามารถส่งข้อความได้ในกรณีที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ซอฟต์แวร์ live chat ที่คุณใช้อยู่ คุณสามารถเซตเวลาหรือใช้คีย์เวิร์ดในการที่จะทำให้ pop-up นี้ปรากฎขึ้นมาก็ได้ ซึ่งกลยุทธ์การใช้ live chat นี้ควรทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขากำลังอยู่ในร้านค้าจริง ที่เมื่อมีคำถามอะไรก็สามารถถามพนักงานขายได้ทันที

ยกตัวอย่าง Lexus and Romwe

ทั้งสองเว็บนี้มีการใช้ live chat ที่ดีมาก ปุ่มวางอยู่ในตำแหน่งที่ดีและถูกไฮไลท์ไว้ให้เห็นได้อย่างเด่นชัด นี่แสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะเป็นสินค้าที่มีตลาดเฉพาะกลุ่มก็ต้องการการช่วยเหลือในการเลือกสินค้าที่ใช่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถคันใหม่หรือกางเกงยีนส์ตัวใหม่ก็ตาม

ยกตัวอย่าง Schuh

Schuh ไปไกลกว่าน้นโดยการใช้ live chat video ในขณะที่ลูกค้าบางคนชอบ interact แบบนี้ แต่ลูกค้าบางคนก็อาจรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจที่จะวิดีโอไลฟ์แชทกับคนแปลกหน้า ทางแบรนด์จึงมีทางเลือกให้เป็นการส่งข้อความได้หากไม่ต้องการคุยเป็นวิดีโอ

สิ่งที่เราอยากแนะนำในการทำ live chat คือควรวางไว้ในพื้นที่ที่มองเห็นได้ง่ายและชัดเจน คุณต้องทำให้มันเห็นชัดเจนได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าลูกค้าจะเลื่อนขึ้นลงหรือกำลังอ่านรีวิวอยู่ก็ตาม

Live chat statistics:

31% ของผู้ที่ช้อปปิ้งออนไลน์จะถูกชักจูงให้ซื้อสินค้าได้มากขึ้นหากมี live chat คอยให้คำแนะนำ

46% ของผู้ที่ช้อปปิ้งออนไลน์คิดว่านี่คือเครื่องสือที่ช่วยในการสื่อสารได้อย่างเพอร์เฟค

62%  ของผู้ซื้อที่เคยใช้ live chat นั้นจะกลับมาซื้ออีกจากเว็บเดิม

11. การนำเสนอส่วนลดหรือโปรโมชั่น

การตั้งราคานั้นก็มีทริคอยู่ไม่ใช่น้อย คุณต้องเสนอราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่งในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสร้างกำไรได้ และยังมีในเรื่องของกลยุทธ์การใช้คูปอง ส่วนลด หรือสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ ที่คุณสามารถมอบให้แก่ลูกค้า ถ้าคุณขายสินค้าที่หาได้ยากหรือเป็นสินค้าที่มีชิ้นเดียวในโลก หรืออาจเป็นสินค้าแฮนด์เมด การใช้โปรโมชั่นก็อาจไม่จำเป็นนัก

ราว 75% ของผู้ซื้อที่ชอบช้อปปิ้งจากในโทรศัพท์มือถือมีการใช้คูปองอยู่เรื่อยๆ ซึ่งถ้าคุณมีการทำโปรโมชั่นแบบนานๆ ครั้ง ก็อาจไม่ดึงดูดใจผู้ใช้กลุ่มนี้นัก

ยกตัวอย่าง Crate&Barrel

เขามีการใช้ in-your-face strategy จะมีกล่องโปรโมชั่นในขณะนั้นโชว์อยู่อย่างชัดเจน และหน้า checkout ก็ทำออกมาอย่างสะอาดตาและเรียบง่าย

ยกตัวอย่าง  Jo Malone

เว็บนี้มีลุคการจัดวางที่ค่อนข้างยุ่งเหยิง และทำให้กล่องโปรโมชั่นนั้นเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนักและต้องใช้การสังเกตดีๆ นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะลูกค้าก็จะตำหนิไม่ได้ว่าคุณไม่ได้เสนอส่วนลดมาให้เลย และไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นความจริงว่าทางเว็บได้มีการเสนอส่วนลดมาแล้ว แต่ลูกค้าส่วนมากไม่ได้สังเกตพอที่จะเจอ

อย่างไรก็ตาม อยากให้จำไว้ว่าการลด 10% นั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่สักเท่าไร แต่มันก็สามารถ selling point ที่ดีได้ โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งของคุณลดน้อยกว่านี้หรือไม่ก็ไม่มีการลดราคาเลย

นี่เป็นเคล็ดลับการลดราคาที่จะเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์ของคุณและยังทำให้ลูกค้าพึงพอใจอีกด้วย

– ลดราคาสำหรับลูกค้าที่ซื้อครั้งแรก – ส่วนลดสำหรับการซื้อปริมาณเยอะ – ส่วนลดสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิก – ฟรีค่าขนส่ง – ส่วนลดสำหรับลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ

12. ทำหน้าเชคเอาท์ให้น่าใช้

จะทำอย่างไรให้หน้าเชคเอาท์เป็นหน้าที่ป็อปปูล่าขึ้นมาได้ และทำไมมันถึงยังเอื่อยๆ ไม่ค่อยมีการช้อปปิ้งจากลูกค้าเท่าที่ควร ลองมาเช็คกันหน่อยเช่น ค่าขนส่งแพงไปหรือเปล่า ระบบภายในเว็บช้า ระบบการจ่ายเงินที่มีทางเลือกน้อย หรืออาจเป็นเพราะผู้ใช้แค่ต้องการเข้ามาดูเล่นๆ ไม่ได้อยากจะซื้ออะไรเป็นพิเศษ

ยกตัวอย่าง TOOBYDOO เขามีกลยุทธ์สุดฉลาดที่ให้ลูกค้าสามารถเชคเอาท์ได้ในฐานะ guest ลูกค้าไม่ต้องสมัครอะไรเลยก็สามารถซื้อได้ มันทำให้ผู้ใช้สามารถช้อปปิ้งได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลา และไม่ต้องยุ่งยากในการตั้ง username/password อีก และไหนจะยังต้อง activate บัญชีผ่านอีเมลอีก

ยกตัวอย่าง The Body Shop

ทำให้เชคเอาท์ให้เป็นเหมือน up-sell ครั้งสุดท้าย The Body Shop ได้นำข้อเสนอของเขามาไว้ในหน้านี้เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะจ่ายเงินเลยหรือช้อปปิ้งต่อดี

ยกตัวอย่าง EatBoutique

มีการบอกให้ลูกค้ารู้อย่างแน่ชัดเลยว่าเขาจะต้องผ่านกี่ขั้นตอนจึงจะไปถึงหน้าจ่ายเงิน มีการโชว์แถบ progress และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะทำให้ลูกค้าไม่สับสน

13. กลุยทธ์ของการจัดการเรื่องค่าจัดส่ง

อย่างที่รู้กันว่าใครๆก็ต้องการจะเห็นคำว่า “ฟรีค่าจัดส่ง” กันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นก็ขอให้มีค่าจัดส่งในเรตที่ถูกมากๆ ก็พอ

ฟรีค่าขนส่ง

ลูกค้าส่วนมากเมื่อเห็นคำว่า “ฟรีค่าขนส่ง” ก็จะทำให้มีแรงจูงใจที่จะเลื่อนดูสินค้าลงมาอีกเรื่อยๆ กันทั้งนั้นถึงแม้ว่าไม่ได้อยากจะเข้ามาซื้ออะไรเป็นพิเศษก็เถอะ ทีนี้ก็ลองมาคิดค่าใช้จ่ายของคุณดูว่า ถ้าไม่ลำบากอะไรก็ควรให้ข้อเสนอนี้แก่ลูกค้าบ้าง ซึ่งกลยุทธ์นี้จะใช้ได้ดีเป็นพิเศษกับสินค้าจำพวกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย สินค้าเพื่อความงาม หรือเครื่องประดับที่ส่วนมากมักถูกจัดอยู่ในแพคเกจขนาดเล็กหรือขนาดกลาง การฟรีค่าจัดส่งถือเป็นปัจจัยหลักในการช้อปปิ้งออนไลน์ในสมัยนี้แล้ว และมันยังทำให้ลูกค้าติดใจจนกลับมาซื้อซ้ำใหม่ได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในฐานะเจ้าของแบรนด์เราแนะนำว่าควรพิจารณาเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ

ยกตัวอย่าง Tattly

เป็นร้านขาย temporary tattoo ที่ตัดสินใจเสนอนโยบายของการฟรีค่าจัดส่งให้ลูกค้า เพราะสินค้าของพวกเขาน้ำหนักแค่ไม่กี่กรัม ดังนั้นจึงมีค่าขนส่งที่น้อยมากและการใช้กลยุทธ์นี้ก็ไม่ได้ทำให้ส่งผลกระทบต่อกำไรของพวกเขาเท่าไร แต่ในทางกลับกัน นี่เป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่จะทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่บกพร่องไปก็คือพวกเขาไม่ได้ทำแบนเนอร์ที่บอกในเรื่องนี้ คุณต้องเข้าไปในส่วนของ FAQ และเช็คว่าเขาคิดการจัดส่งอย่างไรถึงจะรู้

ยกตัวอย่าง The Wedding Garter Co

เมื่อเข้าไปในเว็บนี้ คุณก็คงต้องการดูสินค้าไปเรื่อยๆ อีกเช่นกันเพราะคุณจะเห็นคำว่า ฟรีค่าจัดส่ง แบรนด์นี้มีการใช้กลยุทธ์ที่ดีกว่าเว็บแรกเพราะถ้าคุณมีการนำเสนอสิ่งที่ฟรีให้แก่ลูกค้า คุณก็ควรโชว์มันไว้ในพื้นที่ที่เห็นได้อย่างเด่นชัด

ฟรีค่าจัดส่งเมื่อซื้อเกินยอดที่กำหนด

นอกเหนือจากการฟรีค่าจัดส่ง อีกทางเลือกที่ดีเช่นกันนั่นก็คือ ฟรีค่าจัดส่งเมื่อซื้อเกินยอดที่กำหนด นี่เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างมีการใช้กันเยอะในเว็บไซต์ใหญ่ๆทั่วไป เช่น ASOS The Hut หรือ Free People และมันยังสามารถเพิ่มยอดการซื้อได้อีกด้วย

ยกตัวอย่าง Faucet Face

ฟรีค่าจัดส่ง เมื่อมีการซื้อ 4 ขวดขึ้นไป จัดส่งภายใน US เท่านั้น

เพียงแค่ไม่กี่คำก็สามารถทำให้ลูกค้าเข้าใจได้อย่างครอบคลุมว่าต้องซื้อสินค้าจำนวนเท่าไรจึงจะได้ฟรีค่าจัดส่ง

Faucet Face มีการใช้คำที่กระชับแล้วเข้าใจง่าย และยังเป็นประโยคที่ทำให้ดึงดูดลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติอีกด้วย

Flat rates shipping

ยกตัวอย่าง Daniella Draper

มีการใช้กลยุทธ์ Flat rates shipping ในทุกๆออร์เดอร์ ลูกค้าจะสามารถรู้ได้ว่าค่าขนส่งนั้นเท่าไร และตัดสินใจดูได้ว่าพวกเขาจะยังต้องการซื้ออยู่หรือไม่

ค่าขนส่งวัดจากน้ำหนัก หรือระยะทางในการส่ง

นี่เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะคุณต้องคิดดูว่าคุณต้องจ่ายเท่าไรในออร์เดอร์นี้และลองประเมินราคาออกมา

ยกตัวอย่าง Tinkering Monkey

มีการนำเสนอค่าขนส่งที่วัดตามที่อยู่ในการจัดส่ง ลูกค้าแค่ต้องเลือกประเทศ เมือง หรือ zip code เพื่อที่จะดูค่าขนส่ง

ยกตัวอย่าง KUTOA

มีการลงค่าขนส่งไว้ในหน้าเชคเอาท์ จะแสดงให้เห็นหลังจากลูกค้าได้ใส่ข้อมูลจนครบ

ยกตัวอย่าง Simple Sugars

มีการใช้การคำนวณค่าขนส่งจากเครื่องคิดเลขที่จะทำให้ลูกค้าได้รู้เลยว่าจะต้องเสียค่าขนส่งเท่าไรโดยที่ไม่ต้องเข้าไปถึงหน้าเชคเอาท์ นี่ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ดี ที่จะทำให้ลูกค้าสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในเรื่องการขนส่งของตัวเองได้

97% ของลูกค้าคิดว่าการที่มีฟีเจอร์ tracking order นั้นสำคัญ

58% ของลูกค้าคาดหวังที่จะใช้มีฟรีค่าจัดส่งหรือส่วนลดในการจัดส่ง ซึ่งในทางกลับกันการเพิ่มค่าขนส่งจะทำให้ลูกค้าไม่ช้อปปิ้งต่อ ถึง 55% เลยทีเดียว

เหตุผลที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อร้านเดิมต่อนั่นก็คือการฟรีค่าจัดส่ง

เอาล่ะค่ะ เชคลิสต์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ บทความหน้าเราค่อยมาดูกันต่อว่าการจะทำอีคอมเมิร์สให้ปังในทุกด้านนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง ครั้งหน้าเข้มข้นกว่านี้แน่นอน!

Credit: http://ecommerce-platforms.com/ecommerce-selling-advice/ultimate-epic-guide-successful-online-shop#photos Picture Credit: http://freepik.com/

Ketshopweb | เว็บสำเร็จรูปอย่างง่ายที่ใครๆก็ทำได้

www.ketshopweb.com

เรายินดีให้คำปรึกษาการทำเว็บไซต์ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ติดต่อมาที่ 094-436-2002 , email : sales@ketshopweb.com