ecommerce

Checklist การสร้างอีคอมเมิร์สให้ปัง! ในยุค 2017 #3

By mudjarin -

March 24, 2017

มาถึงตอนที่ 3 แล้วกับสุดยอดไกด์ในการสร้างร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ ใครที่นำไปทดลองสร้างร้านค้าของตัวเอง หรือนำไปปรับปรุง ต่อยอดแบรนด์ที่มีอยู่แล้ว ก็นำมาแชร์ประสบการณ์กันได้เลยนะคะ ใครพลาดตอนก่อนหน้านี้ ตามมาอ่านก่อนได้ที่ ตอนที่ 1: https://wp.me/p7ClQR-m8 ตอนที่ 2: https://wp.me/p7ClQR-md

7. ทำหน้า About Us ให้สุดยอด

ในหน้า About Us เป็นเหมือนประตูที่เปิดนำเข้าสู่โลกธุรกิจของคุณซึ่งควรทำให้มันดูสดใหม่มีชีวิตชีวา ราว 7% ของผู้เข้าชมที่เข้ามาในหน้าโฮมเพจก็มักคลิกเข้ามาดูในหน้า About Us เช่นกัน บางคนอาจคิดว่าหน้านี้ไม่สำคัญ แต่ถ้ามีการออกแบบให้หน้านี้มีดีไซน์ มีการอัพเดทอยู่เสมอก็จะทำให้ผู้เข้าชมเกิดความอยากรู้อยากเห็น และอาจกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวในหน้าสินค้า ส่งผลถึงยอดขายจากคนที่แค่เข้ามาดูเล่นๆได้

ยกตัวอย่าง Yellow Leaf Hammocks

ขายเปลทอจากมือ 100% แบบสั่งทำพิเศษ พวกเขาทำหน้า About ได้สุดยอดมาก เขาทำให้ผู้เข้าชมสามารถตอบคำถามที่สงสัยได้ครบหมดทุกอย่างเกี่ยวกับแบรนด์ บวกกับการใช้กราฟฟิกดีไซน์และรูปภาพที่จะทำให้ผู้เข้าชมสามารถอ่านไปได้เรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน และทำให้อยากรู้เรื่องราวอีกด้วย ส่วนในเรื่องราคาสินค้าก็ค่อนข้างเหมาะสมในแต่ละขนาด เปลญวนพวกนี้ทำขึ้นจากคนที่อาจเป็นผู้ยากไร้ด้วยซ้ำ ด้วยที่มานี้มันจึงทำให้เกิดความลึกซึ้ง มีเรื่องราว เกิดแรงจูงใจ เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ที่จะสามารถเข้าถึงใจลูกค้าได้ ซึ่งลูกค้าก็จะรับรู้เรื่องราวมีที่รายละเอียดที่ดีเหล่านี้ได้จากหน้า About

ยกตัวอย่าง Fruute

รู้ไหมว่า “คุ้กกี้พิเศษชิ้นหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้” นี่คือสิ่งแรกที่คุณจะได้เห็นเมื่อเข้าไปยังหน้า “our story” ของ Fruute คุณจะรับรู้เรื่องราวเบื้องหลังของหวานเหล่านี้และ passion ของคุณแม่ในการอบขนมที่กลายมาเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณจะได้เจอกับคุ้กกี้ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ และตะกร้าของขวัญที่จะทำให้คุณน้ำลายสอ

ยกตัวอย่าง Mujjo

Mujjo ขาย accessories หนังแท้สำหรับ Apple และถุงมือแบบ touch screen พวกเขาทำหน้า About เพื่อแชร์เรื่องราวของพวกเขาเอง ในเรื่องของจุดเริ่มต้นของการออกแบบถุงมือถักที่สามารถ touch screen ได้ และพวกเขาได้ขยายออกมาเป็นสินค้าเกี่ยวกับ Apple ได้อย่างไร และพวกเขายังตัดสินใจทำให้หน้า About นี้เป็นพื้นที่โปรโมทสินค้าของพวกเขาเองด้วย เพื่อให้ผู้เข้าชมได้อยู่ในเว็บของพวกเขานานขึ้น

คุณสามารถแชร์อะไรในหน้า About ได้บ้าง

– เรื่องราวแบรนด์ของคุณ – วิดีโอ หรือรูปภาพที่สามารถอธิบายความเป็นแบรนด์ของคุณได้

– พาร์ทเนอร์ของคุณ – testimonial สัก 1-2 ชิ้น

8. พัฒนากลยุทธ์การทำ SEO ให้สำเร็จ

ในปี 2013 จากผลสำรวจมีการเสิร์ชในกูเกิลกว่า 2.2 ล้านล้านครั้ง และ 90% ของผู้ใช้จะคลิกแค่ผลลัพธ์ 3 อันดับแรกเท่านั้น ดังนั้นถ้าคุณอยากให้สินค้าของคุณติดอันดับในหน้าแรกนั้นก็จะได้เพียงแค่ 10% ของผู้ใช้ทั้งหมดที่จะคลิกมาหา

ปรับปรุงพัฒนาหน้าสินค้าเสียใหม่ ให้มีการใช้คีย์เวิร์ด แบบมีขอบเขตและตรงไปตรงมา คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณจากใน header และ tag images ก็น่าจะเพียงพอในการช่วยให้เว็บของคุณติดอันดับได้

สร้าง URLs ให้ง่ายต่อการค้นหาและจดจำได้ ผู้เข้ามาชมจะได้ไม่ต้องมาเห็นตัวอักษรแปลกๆมากมายเวลาเข้ามาหน้าเว็บของคุณ คุณควรใช้เป็นคีย์เวิร์ดที่พยายามทำให้ติดอันดับ ทำให้มันเรียบง่ายและมี user friendly!

การสร้างคอนเทนท์ไม่ได้ทำให้คุณเสียอะไรเลย การสร้างคอนเทนท์ที่สดใหม่และมีเอกลักษณ์ของตัวเองนั้นดีต่อ  search engine อีกด้วย และอย่าลืมใส่ social media plugins เพิ่ม เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รีวิวสินค้าที่พวกเขาเพิ่งซื้อไปได้อย่างง่ายดาย

หลีกเลี่ยงการสร้างคอนเทนท์ Archives, tags ซ้ำๆกัน จะทำให้เว็บของคุณตกอันดับ เวลาเขียนคำอธิบายภาพสินค้าก็ควรเขียนขึ้นเอง หลีกเลี่ยงการใช้ระบบอัตโนมัติจะอาจทำให้เกิดคอนเทนท์ที่ซ้ำกันได้ ถ้ามีสินค้าที่หมดสต๊อกก็สามารถทิ้งไว้อย่างนั้นได้ อย่าลบเพจเหล่านั้นออกไป ยิ่งถ้าคุณติดอันดับสูงได้ด้วยสินค้าเหล่านั้น แทนที่จะลบ ก็ควรโชว์สินค้าที่ใกล้เคียง หรือคอลเลกชั่นใหม่ของคุณแทน

ทำระบบ internal linking ให้ดี มันจะทำให้ bounce rates ของคุณลดลงให้ผู้ใช้ได้มีอะไรให้คลิกต่อไป

ทำ Link ไปเว็บอื่นบ้าง การ link ไม่ได้เป็นการทำให้อันดับของคุณเสีย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น มันกลับแสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าคุณต้องการให้พวกเขาได้ข้อมูลจากแหล่งอื่นที่มีประโยชน์ด้วย มันจะทำให้คุณดูจริงใจ

เมื่อพูดถึงการใช้ SEO ระดับไฮคลาส เราจะยกตัวอย่าง Zappos

Optimized product page:

– พวกเขามีการใช้คีย์เวิร์ดสินค้าที่ง่ายและตรงกลุ่มเป้าหมาย – แทนที่จะใส่คำอธิบายสินค้าเป็นประโยคยืดยาว พวกเขาทำให้เป็นลิสต์แบบ bullet point แทน

– พวกเขาได้มีการแสดงสินค้าที่ใกล้เคียงให้ผู้เข้าชมได้คลิกต่อไปเรื่อยๆ และเพิ่มโอกาสในการขายด้วย – มีแถบให้สไลด์ดูว่าลูกค้าคนอื่นที่ดูสินค้าตัวเดียวกับคุณ เขาดูสินค้าตัวอื่นชิ้นไหนอีกบ้าง

9. แนะนำสินค้าให้ถูกกับกลุ่มลูกค้า

การแนะนำสินค้าจะทำให้ยอดมูลค่าการสั่งซื้อของคุณโตขึ้นได้กว่า 40% และเป็นการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ลูกค้าได้แบบเฉพาะตัว กลุ่มผู้ซื้อชาวอังกฤษกว่า 53% ชอบที่จะดูสินค้าที่ถูกแนะนำมาจากการประวัติซื้อครั้งก่อนๆของพวกเขา

ยกตัวอย่าง Amazon

Amazon เป็นร้านค้ารายแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จด้วยวิธีนี้ สิ่งที่ Jeff Bezos ทำให้ลูกค้ากดปุ่ม Add to cart ได้อย่างล้นหลาม คือพวกเขามีการใช้กลยุทธ์ “item-to-item collaborative filtering” ที่ทำให้ลูกค้าถูกรายล้อมไปด้วยสินค้าที่เขาเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าเขาต้องการ algorithm ได้วัดการเลือกสินค้ามาจากสิ่งที่เขามีอยู่แล้วในตะกร้าช้อปปิ้ง ประวัติจากสินค้าที่เขาเคยค้นหาใน Amazon สินค้าที่เขาชอบหรือสินค้าที่เคยซื้อไปแล้ว ซึ่งคุณเองอาจไม่เคยรู้ตัวว่าคุณมองหาซื้อที่เย็บกระดาษมากี่ครั้งแล้ว และสุดท้ายก็มักจบลงด้วยการซื้อที่เย็บกระดาษครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งเหล่านี้ที่เป็นเคล็ดลับของการขายใน Amazon พลังของการแนะนำสินค้านี้ Amazon รู้ดีทีเดียว

ยกตัวอย่าง GovX

เขามีการใช้ฟีเจอร์ ‘recommended product’ หลังจากที่ลูกค้าคลิกสินค้าตัวแรกที่เขาสนใจ แบรนด์จะแนะนำสินค้ามาอีก 4 ตัวที่มาจากหมวดเดียวกัน มันฉลาดและเรียบง่ายมาก

ราว 70% ของผู้ที่ช้อปปิ้งออนไลน์มักชอบร้านค้าที่ใช้ข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาเพื่อนำเสนอสินค้าที่มีความใกล้เคียงที่ลูกค้าน่าจะชอบ ซึ่งคุณเองก็สามารถนำกลยุทธ์นี้ไปใช้ได้โดยใส่

– สินค้าแนะนำสำหรับคุณ

– สินค้าใกล้เคียง

– สินค้ายอดฮิต

เราจะกลับมาต่อกันอีกในบทความฉบับหน้า คอยติดตามกันนะคะ

Credit: http://ecommerce-platforms.com/ecommerce-selling-advice/ultimate-epic-guide-successful-online-shop#photos Picture Credit : http://www.freepik.com/

Ketshopweb | เว็บสำเร็จรูปอย่างง่ายที่ใครๆก็ทำได้

www.ketshopweb.com

เรายินดีให้คำปรึกษาการทำเว็บไซต์ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ติดต่อมาที่ 094-436-2002 , email : sales@ketshopweb.com